กะละมังใบเขื่องบรรจุนำ้ด่างธรรมชาติรสเค็มจัดจนซ่า ทดสอบโดยการ "แจะ" คือการแตะน้ำด่างที่ปลายลิ้น รสเค็มจะไม่ใช่รสชาติของกะปิ น้ำปลา หรือเกลือแกงใดๆ แต่เป็นรสเค็มซ่าไร้กลิ่นเหมือนน้ำโซดา ทว่าซ่ากว่าจนต้องรีบบ้วนทิ้ง นำ้ด่างนี้ทำมาจากเหง้ากล้วย ผักขมหนาม ลำต้นมะละกอดิบ นำมาเผาทั้งวันให้เป็นขี้เถ้าสีเทาๆ จากนั้นนำผงขี้เถ้านี้ใส่คุถังหรือหม้อดินที่มีรู อัดให้แน่นและรินนำ้ฝนหรือน้ำจากแหล่งธรรมชาติใส่ให้ท่วม นำภาชนะมารองรับน้ำที่จะหยดลงมา ก็จะได้นำ้ด่างธรรมชาติที่หยดลงทีละหยดจนเต็ม...
จากนั้้นนำเส้นไหมมาแช่น้ำด่างธรรมชาติ 30 นาที - 1 ชั่วโมงตามดีกรีความเค็มซ่าของน้ำด่าง ระหว่างที่รอ อาจารย์หัสดีก็ได้สาธิตการก่อหม้อครามตามคำเรียกร้องของช่างทอบ้านป่าขาว แม่หนา(ปรารถนา)เตรียมเนื้อครามไว้ประมาณ 1 กิโลกรัม ส่วนอาจารย์หัสดีก็เตรียมเนื้อครามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นได้ทดลองก่อหม้อคราม 2 หม้อ นำเนื้อคราม 2 กิโลกรัม ผสมกับน้ำด่างธรรมชาติ 2 กิโลกรัม และน้ำมะขามเปียก 2 กิโลกรัมใส่ในถังพลาสติกใบสูงเท่าหัวเข่า และคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แม่นงเจ้าของพื้นที่ใต้ถุนบ้านกุลีกุจอสวมถุงมือยาง กวนส่วนผสมทั้งสามจนเข้าที่พร้อมเสิรฟ เหล่าไทยมุงน้ำลายสอด้วยกลิ่นครามปนน้ำมะขามเปียกหอมลอยเตะจมูก เสียงเจ้าหน้าที่แซวว่ากินไม่ได้นะคะ เราก็ได้แต่อมยิ้ม
ส่วนผสมทั้งสามเข้ากันดีจนหนืดแล้วแล้วก็นำขันตักขึ้นมาให้สูงสัก 1 ศอก และเทคืนในถัง ตักขึ้น ตักลงๆๆจนเกิดฟองสีน้ำเงินเข้มและน้ำมีความหนืดขึ้นจนหยุด นำไปตากแดดให้เกิดการทำปฏิกิริยาตามธรรมชาติ
สูตรที่ว่านี้ อาจารย์หัสดีบอกว่าเป็นสูตรของอาจารย์สราวุฒิ สิทธิกุล นักวิชาการและศิลปินผู้สืบสานศิลปะผ้าทอมือจากจังหวัดพิษณุโลก
น่าสนใจจริง :)
ตอบลบ