วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เฉดสีน้ำเงิน

Chanel  แบรนด์แฟชั่นที่มี Karl Lagerfeld ดีไซเนอร์วัย 79 ปี คุมบังเหียนอยู่ได้ออกคอลเล็กชั่นเสื้อผ้าประณีตชั้นสูงที่เรียกว่า Haute couture  ฤุดูใบไม้ผลิ-ร้อน ปี 2012


ในคอลเล็กชั่นดังกล่าว เน้นที่เฉดสีน้ำเงินมากกว่า 100 เฉดสี!!! คุณคาร์ลว่าอย่างนั้น...
ตั้งแต่สีฟ้าไข่มุกเบาบาง ถึงสีน้ำเงินมืดดำแห่งรัตติกาล เปิดรูปภาพในคอลเล็กชั่นดูแล้วโทนสีน้ำเงินนี้มีเสน่ห์จับใจหนักหนา 


ภาพจาก www.chanel.com




สีไม่แหลมเด่นเสียดแสบตา ดูกลมกล่อม กลมกลืน ร่วมสมัย...


พอดูhigh-endของเขา  ก็กลับมาดูlow-endของเรา พื้นบ้านไม่อินเตอร์แต่ก็จับตาจับใจไม่แพ้กัน(อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะ)


สีครามธรรมชาติที่มาจากหม้อคราม ตามสูตรประยุกต์แบบโบราณผสานกับสูตรของนักวิชาการก็สามารถให้สีฟ้าที่อ่อนที่สุด ถึงสีน้ำเงินที่เข้มที่สุดได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความอุตสาหะของผู้ย้อม


ความอุตสาหะของเรา(ขณะนั้น) ทำได้ 7 เฉดสี เพราะตาเริ่มลาย เลยต้องหยุดดมยาและยุติการย้อมไว้ก่อน


เอาภาพมาฝากกันให้ดูเล่น





สีขาวในภาพคือสีที่ยังไม่ได้ย้อม เป็นสีเส้นใยเรยอน ขาวสะอาดตา
ถัดมาสีครีมอ่อนๆ คือเส้นฝ้ายปั่นมือ ไม่ได้ฟอกสี
ต่อมาเป็นย้อมคราม 20 วินาที ได้สีฟ้าอ่อน วันนั้นหม้องาม สีติดเข้มดีไปหน่อย มิงั้นจะได้ฟ้าอ่อนกว่านี้
ต่อมาก็ไล่สีไปเป็นหม้อๆ กล่าวคือ หม้อครามก่อนย้อมในแต่ละครั้ง สีของน้ำย้อมจะเป็นสีเหลืองทองอมส้มนิดๆ ขณะย้อมก็ต้องมีการกลับ พลิก หมุนวนเส้นใยเพื่อให้ครามซึมเข้าทั่วทุกเส้น อากาศก็จะเขามาในหม้อ ก้นหม้อที่มีตะกอนครามและส่วนผสมต่างๆก็จะทำให้หม้อเปลี่ยนจากเหลืองเป็นเขียวและเขียวอมน้ำเงินไปตามลำดับ ผู้ย้อมก็ต้องหยุดย้อมจากหม้อนั้น และต้องกระตุกเส้นใยให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยาทางเคมีกับครามในเส้นใยให้เปลี่ยนสีจากเขียวอมเหลืองเป็นสีฟ้าหรือสีน้ำเงิน เราจะเรียกว่าย้อม 1 หม้อ จากนั้นจึงนำเส้นใยไปลงย้อมในหม้อครามอีกใบ(ที่ยังไม่ได้ย้อมในรอบ 8 ชั่วโมงนั้นๆ) ก็จะเป็นหม้อที่ 2 ที่ 3 ที่ 4... ตามลำดับ


คนย้อมครามคนไหนมีหม้อมาก ก็ย้อมคราวเดียวต่อเนื่องกันได้มาก(หากไม่เมื่อยแขน เมื่อยหลังก่อน)  ก็จะได้สีเข้มดำดังใจ ชาวบ้านบางคนไม่สวมถุงมือยาง มือก็จะเป็นสีกรมท่า เล็บก็จะเป็นสีกรมท่า ล้างเท่าไหร่ ขูด ขัดเท่าไหร่ก็ไม่ออก 


เราว่าไม่ต้องเอาออกหรอก ขลังดี


พอย้อมครามเสร็จ ควรอย่างยิ่งที่จะล้างสีส่วนเกิน(สีที่ไม่ได้เกาะเส้นใยหรือเกาะไม่ติด) และบรรดาปูนขาว ปูนแดงที่เป็นส่วนผสมของเนื้อครามออกทันที ไม่ควรทิ้งไว้ให้แห้งกรังหรือหมักข้ามคืน


เราชอบล้างน้ำสุดท้ายด้วยน้ำมะขามเปียก สีเส้นใยจะใสขึ้นมาทันที  ที่ว่าใสนี้ไม่ใช่สีอ่อน สีจืด หากแต่สีที่ฟ้าก็จะฟ้าใสไม่หม่นหมอง สีน้ำเงินก็จะน้ำเงินมีประกายเล็กๆ


และกลิ่นหอมเหมือนกลิ่นดอกมะลิของฝ้ายย้อมครามกับกลิ่นของน้ำมะขามเปียกอ่อนๆ...เข้ากันดีแท้





วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ย้อมเปลือกมังคุด

เมื่อสามอาทิตย์ที่แล้ว พี่ชายลูกป้าส่งผลไม้เมืองจันท์มาให้ มีทุเรียน มังคุด เงาะ ลองกอง อย่างละกระบะสองกระบะ โดยฝากพ่อค้าผลไม้ที่ไปรับเอามาจากสวนที่เมืองจันทบุรี ....ฤดูนี้ หน้านี้อุดมสมบูรณ์ด้วยผลไม้เป็นหนักหนา อร่อย สดด้วยตามฤดูกาล เรากะจะกินให้สิ้นซากหมดทุกกระบะ แต่ก็เอะใจว่าถ้าให้มันย่อยในกระเพาะ หรือเอาเปลือกเอาเม็ดไปทำเป็นปุ๋ยก็จะเสียชื่อคนย้อมสีธรรมชาติ เลยบอกสมาชิกในบ้านว่า เมื่อรับประทานแล้วขอให้แยกเปลือกเอาไว้ใส่กระเช้าพลาสติก เราจะเก็บหอมรอมริบไปทดลองต้มย้อมสีเพื่อทอเป็นผ้าคอลเล็กชั่นผลไม้ไทยดูสักกี่สองกี่

เปลือกมังคุดแช่น้ำค้างคืน



และแล้วก็ได้ฤกษ์งามยามดี ก่อนนอนได้นำเปลือกมังคุดแห้งเทรวมใส่ถังพลาสติก น้ำสะอาดใส่ให้ปริ่ม กวนให้น้ำซึมทั่วทุกเปลือกและปิดฝาทิ้งไว้ เปลือกจะได้นุ่มขึ้นและต้มง่ายในวันพรุ่ง

ซ้าย :rayon            ขวา : ฝ้ายโรงงาน



ตื่นมาเช้าตรู่ นำเส้นฝ้าย 2 ชนิดมาต้มทำความสะอาดก่อน ฝ้ายชนิดแรกคือฝ้ายโรงงาน( cotton 100%) ที่เรียกว่าฝ้ายโรงงานเพราะกระบวนการผลิตปั่นให้เป็นเส้นจากโรงงาน โดยใช้ใยฝ้ายcottonธรรมชาติ ไม่ได้ใช้ฝีมือคนในการเข็นหรือปั่นให้เป็นเส้นอย่างที่บ้านเราเรียกว่าฝ้ายเข็นมือหรือฝ้ายปั่นมือ ภาษาฝรั่งเรียกว่า hand spun cotton....  ฝ้ายอีกชนิดคือฝ้ายซีกวงหรือซีกวาง หรือเรยอน(rayon, viscose) อันนี้ชาวบ้านก็เรียกว่าฝ้าย แต่จริงๆไม่ใช่ฝ้าย มันคือเส้นใยกึ่งสังเคราะห์ที่ผลิตมาจากต้นไม้ เปลือกไม้ เช่น ไม้ยูคาลิปตัส หรือไม้สน นำมาแช่สารละลายและฉีดออกมาให้เป็นเส้นใย โดยใช้เซลูโลสจากพืชธรรมชาติ เส้นใยนี้ย้อมสีธรรมชาติจะติดง่าย ย้อมครามก็ง่าย ดูดน้ำดี ต่างจากฝ้ายธรรมชาติที่ต้องต้มเอาไขมันฝ้ายออกจากเส้นก่อน มิฉะนั้นเส้นจะด่าง สีซึมไม่ถึงใจกลางเส้น ดีไม่ดีถ้าเอาไปย้อมครามหม้อครามจะพลอยสกปรกไปด้วย

แช่น้ำ



แช่เส้นใยทั้ง 2 ชนิดในกะละมังสัก 15 นาที ระหว่างนี้ต้มน้ำให้เดือดไว้รอต้มล้างไขมัน 1 หม้อ  อีกหม้อก็ต้มเปลือกมังคุดกับน้ำที่แช่ไว้เมื่อคืน 


วกกลับมาที่เส้นใย นำเส้นฝ้ายโรงงานบิดให้สะเด็ดน้ำ นำกิ่งไผ่ยาวสองศอกสอดแทนบ่วง หรี่ไฟหม้อต้ม อย่าให้น้ำเดือดปุดๆ นำฝ้ายลงต้ม ยกขึ้นลง ไปมาจนทั่ว ต้มฝ้ายสักครึ่งชั่วโมงก็เอาขึ้นบิด ตากลมให้เย็น
นำเส้นใยเรยอนมาต้มด้วยวิธีเดียวกับต้มเส้นฝ้ายโรงงาน แต่เนื่องจากเรยอนเส้นสะอาดกว่าจึงใช้เวลาน้อยกว่า สัก 15 นาที่ก็ยกข้ึนบิด ผึ่งลมให้เย็น


ระหว่างรอเส้นใยเย็นลง หม้อต้มเปลือกมังคุดก็เดือดพล่าน คนไปมาให้เปลือกกลับตัว พอต้มได้เวลา 1 ชั่วโมงก็ยกหม้อลง กรองเปลือกออกด้วยตะแกรงมุ้งลวด เปลือกที่ต้มแล้วสามารถนำมาต้มซำ้อีกได้แต่สีจะจืดลง หรือจะนำไปทุบใส่เป็นปุ๋ยให้ต้นไม้ต่อก็ได้ 
น้ำต้มเปลือกมังคุดเป็นสีน้ำตาลกลางๆ ไม่เข้มมาก หาได้มีสีม่วงเข้มเหมือนเปลือกตอนสดๆ... นำเกลือแกง 2 ช้อนโต๊ะใส่ลงไป คนให้ละลาย นำไปต้มต่อจนเดือดอีกครั้ง


พอน้ำเปลือกมังคุดเดือด กลิ่นหอมเฝื่อนๆฝาดๆเหมือนต้มสมุนไพรประเภทเปลือกไม้  หรี่ไฟลง นำกิ่งไม่ไผ่สอดวงเส้นใยแทนบ่วง จุ่มลงนำ้เปลือกมังคุด ยกขึ้นลง กลับไปมาให้น้ำซึมทั่ว ต้มแช่ไว้  ทุกๆ 5 นาทีทำซ้ำเพื่อให้สีไม่ด่าง รอสัก 45 นาทีก็ดับไฟ แต่แช่เส้นใยไว้ในหม้อก่อน


ระหว่างนี้ จะทำนำ้ปูนใส...ใครยังจำสูตรนี้ได้บ้างจากบทความที่แล้ว???
 วิธีทำคือ น้ำเปล่า 10 ลิตร ต่อปูนขาวหรือปูนแดง 1 ขีด  หากมีน้ำน้อยกว่าหรือมากกว่า ให้ลดหรือเพิ่มเนื้อปูนตามความเหมาะสม แช่ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน กรองเอาแต่น้ำที่ใส ใส่กะละมังใหม่ 


เพิ่งย้อมเสร็จ ยังไม่ได้บิดน้ำ




มาที่หม้อน้ำมังคุด น้ำเส้นใยยกขึ้น บิดให้สะเด็ดน้ำ กระตุกเส้นใยให้เรียงเส้น วิธีการคือ เอามือซ้ายและขวาสอดเข้าในวงต่อนฝ้าย พนมมือและกระตุกมือออกแรงๆ ทำซ้ำสัก 5 ครั้ง เศษเปลือกมังคุดจะหลุดออกและเส้นใยจะเรียงตัวกัน ผึ่งลมไว้ให้เย็น เส้นใยจะเป็นสีครีมวนิลา อาจมีเศษเปลือกมังคุดที่เล็กมากๆเป็นสีน้ำตาลดำเกาะอยู่ไม่ต้องกังวลใจ เพราะพอล้างและเส้นแห้งแล้ว กระตุกเส้นอีกสักครั้งสองครั้งจะหลุดออกไปเอง


ผึ่งลมให้เย็นแล้ว




หลังจากแช่น้ำปูนใสแล้วนำมาตากแดด สีเข้มขึ้นทันตา


นำเส้นใยสีครีมมาจุ่มลงในน้ำปูนใส ยกขึ้นลง พลิกซ้ายขวา นวดให้น้ำปูนใสซึมทั่วเส้นใย แช่ไว้สัก 5 นาที น้ำปูนใสจะเปลี่ยนจากสีใสขุ่นเป็นสีครีมและสีน้ำตาลกลาง บิดให้หมาด กระตุกให้เรียงเส้น นำมาตากแดดเพื่อเปลี่ยนสี !!!

เส้นใยจากที่เป็นสีครีมวนิลาพอแช่น้ำปูนใสจะเป็นสีเนื้อเบจ และเมื่อนำไปตากแดดสัก 10 นาทีจะเปลี่ยนเป็นสีโอวัลติน อะเมซิ่งมากๆ  อย่าปล่อยให้เส้นใยแห้งเพราะจะมีเกล็ดปูนขาวเกาะทำให้เส้นใยแข็ง ไม่น่าสัมผัส นำไปล้างน้ำสะอาดออกจนน้ำใส ใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มในน้ำสุดท้าย จากนั้นก็นำไปผึ่งลมในที่ร่ม เมื่อเส้นใยแห้งสีจะจืดลง20 - 30% 


เปรียบเทียบระหว่างส่วนที่ไม่ได้ย้อม(สีขาว) ย้อมแล้ว(สีเนื้อ) ย้อมแล้วและนำไปแช่น้ำปูนใส(สีโอวัลติน)




น้ำต้มเปลือกมังคุด นำมาต้มย้อมได้ต่อ โดยเติมเปลือกมังคุดใหม่ที่แช่น้ำค้างคืนลงไป


ถึงฤดูมังคุดเมื่อไหร่ก็จะมีผ้าสีน้ำตาลอ่อนๆไว้ใช้ไว้ชม...











วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักเรียนโข่ง...ตอน3 ย้อมหมากกะทันกันเถอะ

"หมากกะทัน"  คำนี้ไม่แน่ใจว่ามีสระอะต่อท้ายกอไก่หรือไม่ รู้อย่างเดียวว่ามีรสอร่อย
หมากกะทัน เป็นภาษาถิ่นอิสาน แปลว่า พุทรา แต่ต่างจากพุทราลูกใหญ่ๆเท่าแอปเปิ้ลเขียวทั่วไป หมากกะทันที่จะกล่าวนี้มีลูกเล็กๆเท่าผลเชอรี่  เมื่อดิบสีเขียว สุกก็จะสีน้ำตาลแดง รสชาติเปรียวหวาน อร่อย ชุ่มคอ บอกไม่ถูก...

วันนี้ช่างทอบ้านป่าขาว จะย้อมเปลือกต้นหมากกะทัน ได้ต้มสกัดสีรอแล้วตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้กรองเอาแต่น้ำ้ แยกเศษเปลือกไม้ จะได้ไม่เกี่ยวพันกับเส้นไหมที่จะย้อม


นำน้้ำเปลือกหมากกะทันไปต้มพออุ่น ใส่เกลือแกงสัก 2 ช้อนโต๊ะ คนให้ละลาย จากนั้นทดสอบโดยจุ่มมือลงไป อุณหภูมิอุ่นๆพอทนได้จึงนำเส้นไหมที่ลอกกาวไหมออกแล้วไปแช่ นวดให้น้ำและเส้นซึมทั่ว แช่พักไว้ 10 นาที เราเรียกวิธีนี้ว่าการย้อมเย็น เพื่อไม่ใช้เส้นไหมด่าง



จากนั้นบิดให้หมาด กระตุกเส้นไหมให้เรียงเส้น นำน้ำ้ย้อมไปต้มอีกครั้ง ทีนี้ต้มให้อุ่นจัดอย่าได้เอามือไปลงทีเดียวเชียว นำเส้นไหมใส่บ่วงลงย้อม จุ่มขึ้นลง พลิกให้นำ้สีซึมทั่วเส้นไหม จะได้ไม่ด่าง

การย้อมไหมไม่ให้สีด่าง นับเป็นเทคนิควิธีที่ต้องใช้ความชำนาญและอดทน ต้องนั่งเฝ้าหม้อต้มตลอดการย้อม ทุกๆ 5 นาทีต้องยกบ่วงขึ้นลงและกลับเส้นไหมพลิกไปมา ทำอย่างนี้ 1 ชั่วโมง จากนั้นผึ่งลมพอให้หายร้อน บิดน้ำออก กระตุกให้เรียงเส้น ผึ่งลมให้เย็น จะได้ไหมสีน้ำตาลอ่อนอมส้ม มีกลิ่นหอมเปลือกหมากกะทัน



...ถ้าอยากได้สีที่มาจากเปลือกหมากกะทันสีอื่นหละ จะทำอย่างไร ??

คำตอบคือ ย้อมซ้ำสิ สีจะได้เข้มขึ้น แต่ก็ต้องนั่งเฝ้าหม้อต้มอีกรอบ ชักช้าไม่ทันใจ มีวิธีอื่นอีกไหม...

คำตอบที่สอง คือ  ใช้การเล่นแร่แปรธาตุ เป็นนักเคมี+มายากล   ...คำตอบนี้ชวนฉงนระคนกับชวนตื่นใจ
ทำอย่างไรหนอๆๆ

ช่างทอนำปูนขาวมาละลายน้ำ แช่ทิ้งไว้ให้ตกตะกอน เรียกกันว่า "น้้ำปูนใส"
ชื่อทางเคมีว่าอย่างไรไม่ทราบ ทราบอย่างเดียวว่ามีค่าเป็นด่าง จะทำปฏิกิริยากับเส้นใยที่ย้อมแล้วให้เปลี่ยนสี!!!

ปูนขาวหรือปูนแดง คือปูนที่ใช้ผสมเพื่อเคี้ยวหมากนั่นเอง เนื้อเป็นครีมข้น ไม่ใช่เป็นผงเหมือนปูนฉาบผนังบ้าน

สัดส่วนทำน้ำปูนใสคือ น้ำเปล่า 10 ลิตร ต่อปูนขาวหรือปูนแดง 1 ขีด  หากมีน้ำน้อยกว่าหรือมากกว่า ให้ลดหรือเพิ่มเนื้อปูนตามความเหมาะสม




กรองเอาแต่น้ำที่ใส ใส่กะละมังใหม่ นำเส้นไหมที่เพิ่งย้อมและผึ่งลมจนเย็นแล้ว แยกเอาเฉพาะจำนวนที่ต้องการให้ได้สีอื่น นำมาจุ่มน้ำปูนใสพรวดเดียวให้พร้อมกัน นวดให้ทั่ว พลิกเส้นไหมไปมานาน 5 นาที
สีเส้นไหมย้อมเปลือกหมากกะทัน จากเดิมสีน้ำตาลอ่อนๆอมส้มกลายเป็นสีทองแดงอมน้ำตาลได้ทันใจ
ขอเน้นย้ำไฮไล้ท์ว่าสีสวยมาก ถ้าไม่เห็นขั้นตอนการย้อมด้วยตัวเองต้องฟันธงว่าย้อมสีเคมีแน่ๆ

แต่นี่คือสีจากพืชธรรมชาติ ที่หาได้ง่ายในท้องถิ่นบ้านป่าขาว ไม่ต้องซื้อ และไม่ได้โค่นต้นไม้ หากแต่ถากเอาเปลือกมาย้อม ขณะที่ย้อม ผู้ย้อมก็ปลอดภัย เพราะไอระเหยไม่มีโลหะหนักหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ผิวหนังหรือดวงตา พอย้อมเสร็จน้ำที่เหลือก็นำไปรดพืชผักผลไม้ให้งอกงามได้ และเมื่อทอเป็นผืนที่งดงามแล้ว ประทับตรานกยูงพระราชทานแล้ว ผู้ซื้อก็ได้อุดหนุนผลิตภัณฑ์ของชาวบ้าน ได้มีส่วนให้เขามีเงินทุน มีกำลังใจที่จะทำงานหัตถศิลป์แขนงนี้ต่อไป...

                          ต่อนเส้นไหมย้อมเปลือกหมากกะทัน  แช่น้ำปูนใสและไม่ได้แช่น้ำปูนใส



วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักเรียนโข่ง...ตอนที่2 ลอกกาวไหม&ก่อหม้อคราม




เส้นไหมดิบเส้นแข็งสีเหลืองทองกองโตบนแคร่ไม้ไผ่ ขดเป็นต่อนเลข 8 รอถูกชั่งเพื่อนำไปลอกกาวไหม พอชั่งได้น้ำหนักที่พอเหมาะกับปริมาตรของกะละมัง ก็นำเส้นไหมไปแช่นำ้จืดสัก 10 นาที บิดให้สะเด็ดน้ำ เส้นจะนุ่มขึ้น

กะละมังใบเขื่องบรรจุนำ้ด่างธรรมชาติรสเค็มจัดจนซ่า ทดสอบโดยการ "แจะ" คือการแตะน้ำด่างที่ปลายลิ้น รสเค็มจะไม่ใช่รสชาติของกะปิ น้ำปลา หรือเกลือแกงใดๆ แต่เป็นรสเค็มซ่าไร้กลิ่นเหมือนน้ำโซดา ทว่าซ่ากว่าจนต้องรีบบ้วนทิ้ง นำ้ด่างนี้ทำมาจากเหง้ากล้วย ผักขมหนาม ลำต้นมะละกอดิบ นำมาเผาทั้งวันให้เป็นขี้เถ้าสีเทาๆ จากนั้นนำผงขี้เถ้านี้ใส่คุถังหรือหม้อดินที่มีรู อัดให้แน่นและรินนำ้ฝนหรือน้ำจากแหล่งธรรมชาติใส่ให้ท่วม นำภาชนะมารองรับน้ำที่จะหยดลงมา ก็จะได้นำ้ด่างธรรมชาติที่หยดลงทีละหยดจนเต็ม...



จากนั้้นนำเส้นไหมมาแช่น้ำด่างธรรมชาติ 30 นาที - 1 ชั่วโมงตามดีกรีความเค็มซ่าของน้ำด่าง ระหว่างที่รอ อาจารย์หัสดีก็ได้สาธิตการก่อหม้อครามตามคำเรียกร้องของช่างทอบ้านป่าขาว แม่หนา(ปรารถนา)เตรียมเนื้อครามไว้ประมาณ 1 กิโลกรัม ส่วนอาจารย์หัสดีก็เตรียมเนื้อครามมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นได้ทดลองก่อหม้อคราม 2 หม้อ นำเนื้อคราม 2 กิโลกรัม ผสมกับน้ำด่างธรรมชาติ 2 กิโลกรัม และน้ำมะขามเปียก 2 กิโลกรัมใส่ในถังพลาสติกใบสูงเท่าหัวเข่า และคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แม่นงเจ้าของพื้นที่ใต้ถุนบ้านกุลีกุจอสวมถุงมือยาง กวนส่วนผสมทั้งสามจนเข้าที่พร้อมเสิรฟ เหล่าไทยมุงน้ำลายสอด้วยกลิ่นครามปนน้ำมะขามเปียกหอมลอยเตะจมูก เสียงเจ้าหน้าที่แซวว่ากินไม่ได้นะคะ เราก็ได้แต่อมยิ้ม

ส่วนผสมทั้งสามเข้ากันดีจนหนืดแล้วแล้วก็นำขันตักขึ้นมาให้สูงสัก 1 ศอก และเทคืนในถัง ตักขึ้น ตักลงๆๆจนเกิดฟองสีน้ำเงินเข้มและน้ำมีความหนืดขึ้นจนหยุด นำไปตากแดดให้เกิดการทำปฏิกิริยาตามธรรมชาติ

สูตรที่ว่านี้ อาจารย์หัสดีบอกว่าเป็นสูตรของอาจารย์สราวุฒิ สิทธิกุล นักวิชาการและศิลปินผู้สืบสานศิลปะผ้าทอมือจากจังหวัดพิษณุโลก





...วกกลับมายังเส้นไหมนอนแช่น้ำด่างอยู่ในกะละมัง ครบเพลา 1 ชั่วโมง ก็นำมาบิดและกระตุกให้สะเด็ดนำ้ เส้นไหมนุ่มขึ้นมากกก ลื่นเหมือนมีเมือก นั้นเพราะความเป็นด่างของน้ำด่างธรรมชาติกัดกาวไหมให้หลุดออกมา จากนั้นนำใส่บ่วงไปลวกนำ้ร้อนให้เมือกกาวหลุดออกมาอย่างสมบูรณ์ กลับ พลิก เส้นไหม จุ่มยกขึ้นยกลงจนน้ำร้อนเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พี่ผ่องบอกว่าโปรตีนไหม กาวไหมนี่แหละที่เขานำเอาไปทำเป็นเครื่องประทินผิว ชาวบ้านป่าขาวมีใช้มากกว่าชาวกรุง นำมาแช่บำรุงส้นเท้าที่แตกเขิบ(แตกระแหง)ให้เนียนนุ่ม... เส้นไหมจากที่สีเหลืองอมส้มเปลี่ยนเป็นสีครีมนวลๆเหมือนสีกระดาษถนอมสายตา ก็เป็นอันเสร็จพิธีการลอกกาวไหมด้วยประการฉะนี้...

















นักเรียนโข่ง... ตอนที่1

ผู้รู้หลายท่านกล่าวไว้ "ไม่มีใครแก่เกินเรียน"

การเรียนรู้ในช่วงชีวิตหนึ่งๆ ไม่มีทางจบสิ้น แม้เราจะเรียนรู้เพียงศาสตร์หรือศิลป์แขนงเดียวก็ไม่มีทางเรียนรู้ได้หมด
ทุกอย่างไม่ตายตัว ทุกอย่างไม่มีสูตรสำเร็จ  ตัวเราเข้าใจอย่างนั้น

ชาวเล(ชาวประมง)เรียนรู้กับคลื่นลมทะเลและท้องฟ้ามานับพันๆปี ชาวนาเรียนรู้กับแสงแดดกล้า กลิ่นไอดินไอฝนมาหลายชั่วอายุคน...ก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฝนตกไม่เป็นฤดูกาล อากาศแปรปรวน องค์ความรู้ต่างๆจึงไม่ตายตัว อยู่ที่จะพลิกแพลงประยุกต์ใช้อย่างไร

วันนี้ฝนปรอยกลางแดดจัด แสงแดดสะท้อนกรอบแว่นตาขณะที่ผมกำลังพิมพ์เรี่องนี้

หลายอาทิตย์ก่อนได้ความกรุณาจากศูนย์หม่อนไหม สกลนคร อนุญาต(ไม่มีสระอิ)ให้ติดตามเรียนรู้การฟอก ย้อม เส้นไหมด้วยสีธรรมชาติ และพากันไปที่บ้านป่าขาว จังหวัดสกลนคร

พกพาความตั้งใจเต็มที่เพราะขอลากิจการจากทางร้านมาเป็นนักเรียนโข่งสัก 3 วันจนจบคอร์ส
อาจารย์ของเรามีทั้งเจ้าหน้าที่ของหม่อนไหมสกลนครและบรรดาแม่ๆผู้ชำนาญการย้อมผ้า ทอผ้า นับอายุรวมกันได้ศตวรรษกว่าๆ



อาจารย์หัสดี พี่ผ่อง พี่กิ๊ก น้องเจน ผู้ชำ่ชองด้านการฟอกเส้นไหม ย้อมเส้นไหมให้สวยงาม ควรค่าการประทับตรานกยูงพระราชทาน

คนไทยเราโชคดี มีบุญวาสนาที่มีพระราชินีที่ทรงพระกรุณาและทรงให้ความสำคัญกับศิลปหัตถกรรมไทยให้คงอยู่สืบไป จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญลักษณ์นกยูงไทย ให้เป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย 4 ชนิด


Royal Thai Silk นกยูงสีทอง
เป็นผ้าไหมที่ผลิตโดยใช้เส้นไหมและวัตถุดิบตลอดจนกระบวนการผลิตที่เป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้านดั้งเดิมของไทยอย่างแท้จริง ดังนี้
- ใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านเป็นทั้งเส้นพุ่งและเส้นยืน
- เส้นไหมต้องสาวด้วยมือผ่านพวงสาวลงภาชนะ
- ทอด้วยกี่ทอมือแบบพื้นบ้านชนิดพุ่งกระสวยด้วยมือ
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติ หรือสีเคมีที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
- ต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
Classic Thai Silk นกยูงสีเงิน
เป็นผ้าไหมที่ผลิตขึ้นโดยยังคงอนุรักษ์ภูมิปัญญาพื้นบ้านผสมผสานกับการประยุกต์ใช้เครื่องมือและกระบวนการผลิตในบางขั้นตอน ดังนี้
- ใช้เส้นไหมพันธุ์ไทยพื้นบ้านหรือพันธุ์ไทยปรับปรุงเป็นเส้นพุ่งและ/หรือเส้นยืน
- เส้นไหมต้องสาวด้วยมือ หรือสาวด้วยอุปกรณ์ที่ใช้มอเตอร์ขับเคลื่อนไม่เกิน 5 แรงม้า
- ทอด้วยกี่ทอมือชนิดพุ่งกระสวยด้วยมือหรือกี่กระตุกก็ได้
- ต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
Thai Silk นกยูงสีน้ำเงิน
เป็นผ้าไหมชนิดที่ผลิตด้วยภูมิปัญญาของไทยแบบประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีการผลิตเข้ากับสมัยนิยมและเชิงธุรกิจ ดังนี้
- ใช้เส้นไหมแท้เป็นเส้นพุ่งและเส้นยืน
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติ หรือสีเคมีที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
- ทอด้วยกี่แบบใดก็ได้
- ต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
Thai Silk Blend นกยูงสีเขียว
เป็นผ้าไหมที่ผลิตด้วยกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ผสมผสานกับภูมิปัญญาไทยในด้านลวดลายและสีสันระหว่างเส้นใยไหมแท้กับเส้นใยอื่นที่มาจากธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะห์รูปแบบต่างๆ ตามวัตถุประสงค์การใช้งาน หรือตามความต้องการของผู้บริโภค ดังนี้
- ใช้เส้นไหมแท้เป็นส่วนประกอบหลัก มีเส้นใยอื่นเป็นส่วนประกอบรอง
- ต้องระบุส่วนประกอบของเส้นใยอื่นให้ชัดเจน
- ทอด้วยกี่แบบใดก็ได้
- ย้อมด้วยสีธรรมชาติ หรือสีเคมีที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
- ต้องผลิตในประเทศไทยเท่านั้น

ขอบคุณข้อมูลนี้จากกรมหม่อนไหมครับ

ย้อนกลับมายังบ้านป่าขาว ณ ใต้ถุนบ้านแม่นง เหล่าช่างทอผ้าไหมรวมตัวกันโดยได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า 20 กว่าคน บ้างกระเตงหลาน บางสะพายกระติบข้าวเหนียวอันเล็กๆ บ้างสะพายถุงผ้าโลกร้อน ภายในบรรจุของขบเค้ียวประจำกาย นั่นคือหมาก พลูและปูนแดง ริมฝีปากแดงโดยไม่ต้องพึ่งน้ำยาอุทัยทิพย์หรือลิปสติกของมีสทีน ทุกคนเตรียมพร้อมทั้งกายและใจมาเป็นนักเรียน อารมย์แจ่มใส ไม่มีง่วงหงาวหาวนอนให้เห็นแม้เพียงหวอดเดียว

วันนี้เป็นวันแรกในสามวันของภาคทฤษฎีควบปฏิบัติ อาจารย์จากหม่อนไหมสกลนครได้สอนฟอกเส้นไหมด้วยวิธีธรรมชาติและวิธีทางเคมี รวมถึงการก่อหม้อคราม ที่ก่อหม้อตอนเช้าและตอนเย็นย้อมได้ ทุกคนตื่นเต้น เพราะหมู่บ้านนี้ไม่ได้ย้อมครามกัน





พรุ่งนี้จะมาเล่าการฟอกเส้นไหมและก่อหม้อครามกันครับ





วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

แนะนำตัว

วันนี้ฝนตกหนักตอนใกล้เช้า(รุ่งสาง) และโปรยปรายในช่วงสายๆอีกรอบ

เมื่อวานตอนเช้าไปส่งฝ้ายย้อมครามสำหรับทอผ้าพันคอลายก้างปลาแนวตั้ง ป้าแก้ว(ช่างทอ) ขึ้นเส้นยืนไว้รอแล้ว ส่วนวันนี้ป้าขอตัวไปทำนาก่อนสัก3-4วันแล้วจะกลับมาทอ ก็พอดีฝ้ายแห้ง ช่วงนี้อากาศชื้น ฝนตกๆหยุดๆ เส้นฝ้ายเลยแห้งช้า

ตอนนี้ในโรงทอมีอยู่ 5 กี่ โรงทอ mann craft เป็นโรงทอเล็กๆ กระทัดรัด ไว้ทอผ้าต้นแบบให้ได้ตามแบบ ตามลาย ตามใจตัวเองให้มากที่สุด เราไม่รีบไม่ร้อนตามกระแสเท่าไหร่ เพราะช่างทอเรา chill วิถีชีวิตพื้นบ้านเราก็ chill... เราทอทั้งผ้าไหม ผ้าฝ้ายและใยกึ่งสังเคราะห์  เราปลูกต้นครามสำหรับทำเนื้อครามไว้ย้อมครามเอง(สีฟ้า-น้ำเงิน)ตลอดปี  เราทำนำ้ด่างธรรมชาติเพื่อก่อหม้อย้อมครามเอง ต้นมะขามเปรียวที่เป็นส่วนผสมหลักเราก็มีอยู่ต้นใหญ่ ต้นไม้ชนิดอื่นๆสำหรับย้อมสีธรรมชาติ เช่น สีกากี สีนำ้ตาล สีเหลืองทอง สีเขียว สีแสด มีพร้อมไม่ต้องซื้อ ทุกๆเช้าผมตื่นขึ้นมาวันไหนฝนไม่ตกก็จะย้อมเส้นใยให้เป็นสีต่างๆ โดยเฉพาะย้อมครามเพื่อให้ช่างทอได้ทอ แต่ละวันที่ย้อม ที่พินิจดูหม้อคราม ดูฟอง ดมกลิ่น ดูสี ก็จะเกิดความรู้ เกิดลายใหม่ๆ เกิดประสบการณ์ที่ค่อยๆเติม พ่อกับแม่ไม่ได้เป็นคนทอผ้าหรือย้อมผ้าเรื่องต่างๆเหล่านี้เลยขอคำปรึกษาไม่ได้ เราขาดองค์ความรู้ด้านนี้ เลยต้องตระเวนเรียนรู้จากบรรดาแม่ครูผู้ทำครามตามหมู่บ้านต่างๆ เรียนรู้กับนักวิชาการ นักชีวะ เรียนรู้อ่านหนังสือ ตามBlogของฝรั่ง และเรียนรู้อย่างช้าๆๆกับตัวเอง...

                                                       เมล็ดคราม indigofera tinctoria

ต้นกล้าคราม อายุ 1 สัปดาห์กว่าๆ


                                                              เก็บวัชพืชออกจากแปลง


                                                            ต้นครามอายุ 2 เดือน


                                                                ต้นครามอายุ 3 เดือน

 วันไหนฝนตกก็จะไม่ย้อมเส้นใย จะโจกคราม(คือการกวน การตักให้อากาศเข้าไปในหม้อคราม เพื่อให้ออกซิเจนหล่อเลียงจุลินทรีย์เล็กๆในหม้อ เป็นตัวช่วยให้ติดสี)  ขณะนี้มีความสุขที่จะรอดูผลงานฝีมือเมื่อช่างทอแต่ละคนทอเสร็จ

วันนี้ผมไม่ได้เข้าไปโรงทอผ้า ยังไม่ได้ย้อมเส้นฝ้ายมัดหมี่ลายคลื่น(เสน่หา) ตอนนี้กำลังสนับสนุนช่างทอคนหนึ่งชื่อ อิ๋ว อายุ 19 ปี ฝีมือเก่งมาก ทอผ้าเป็นตั้งแต่ 8 ขวบ ทอเทคนิคต่างๆเป็น มัดหมี่เป็น ผมจึงให้เขาลองทอลายคลื่นซึ่งใช้เส้นฝ้ายปั่นมือ ย้อมครามธรรมชาติ... ถ้าอิ๋วทอเสร็จจะถ่ายรูปมาฝากครับ

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The beginning

ขณะนี้ตอนเที่ยง เวลา 12.58 น. ตามเวลาในคอมพิวเตอร์ของผม


หลังจากอิ่มรับประทานไวไวควิ๊ก รสต้มโคล้งไป 2 ซอง กับการนั่งหาประโยคเด็ดๆเพื่อเริ่มต้นในการเขียน Blogครั้งแรกของชีวิต ดูฟังแล้วน่าตื่นเต้น ดูเป็นภาระกิจที่ยิ่งใหญ่น่าสำคัญ... แต่ไม่หรอกครับ ผมแค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ช่วงเวลาพิเศษ หรือข้อมูลแปลกใหม่สำหรับ "คอเดียวกัน" 


เมื่อคืน นั่งดูรายการสารคดีเกี่ยวกับศิลปะและจิตวิญญาณ เขาพาไปดูชีวิตและผลงานของศิลปินพื้นบ้านชาวอะบอริจิน ประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้หญิงชื่อ Nyurapayia Nampitjinpa  ในการทำงาน เธอจะนั่งกับพื่น วางเฟรมผ้าใบไว้บนพื้นและก็จะมีพู่กันและอุปกรณ์วาด อุปกรณ์แต้มสีวางอยู่ข้างๆเธอ เธอวาดรูปแบบไม่ต้องร่างแบบ เหมือนภาพนั้นอยู่ในสมองและกลั่นออกมาในชั่วขณะนั้น ภาพที่สารคดีนำเสนอคือภาพของร่างแหของรากต้นมันสำปะหลัง!!!  บางครั้งเธอจะนั่งใต้ต้นไม้ ในท้องทุ่งกว้างๆ หรือกลางดินอันแห้งแล้ง และก็จะวาดรูป ภาพที่ได้มันมีความหมายให้ขบคิด น่าทึ่ง! และทำให้อมยิ้มน้อยๆหากนึกถึงการทำงานของเธอ ที่เธอนั่ง จิ้มๆๆๆๆๆ สีแต่ละสีบนผ้าใบ และ จิ้มๆๆๆๆ จนเป็นภาพขนาดใหญ่ที่มีมิติอย่างน่าอัศจรรย์ :D 


Nyurapayia Nampitjinpa



ผมนึกย้อนไปเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อตอนที่ผม "ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศิลปินพื้นเมือง ศิลปะพื้นบ้าน" ของอิสานเท่าที่ควรจะเป็น มีเพียงความชอบ ชอบผ้าไหมผ้าทอมือ ชอบเครื่องจักสานตะกร้า เครื่องดัก จับปลา เสื่อ สาด และอื่นๆอีกมากมาย เพราะหน้าตาของเหล่านี้ดูแปลก แต่ท้ายที่สุดก็ผ่านไป จนมาในวันนี้ สิ่งที่ดลใจให้เปลี่ยนจากความชอบ เป็นความคลั่งไคล้ ลุ่มหลง ก็มาจากกลิ่นของหม้อคราม indigo!!